วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ลาง จะ หลอน

เริ่มเรื่องเลยละกัน...เรื่องต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและประสบการณ์จริง

คุณเคยมีประสบการณ์ประหลาดๆ บ้างไหม สิ่งหนึ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้  แต่มีการกล่าวถึงบ่อยๆ  ความเป็นจริงเกี่ยวกับสิ่งนี้คืออะไรหรือโลกเรามีสองมิติคือ มิติที่เราอยู่กับมิติของคนที่ตายไปแล้ววิญญาณ  เราเองก็ไม่เคยพบพานกับสิ่งเร้นลับนี้อย่างจะจะจังๆ แบบในหนังที่เห็นหน้ามาแล้วตากลวงโบ๋มาก่อน จนกระทั่งวันหนึ่ง....
ช่วงนี้มีวันหยุดเวลาว่างๆ ยาวๆ เราเลยย้ายสังขารตัวเอง มาประจำการอยู่ที่หอพักของพี่ชาย  เป็นหอพักเก่าๆ แถวไกลจากตัวเมืองออกมาหน่อย  หอพักนี้ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน นักศึกษาจากสถาบันใกล้เคียงเข้ามาเช่าอยู่  เพื่อร่ำเรียน  เพื่อล่องลอย หรืออาจจะเพื่อร่วมรัก กันแม้ในวัยอย่างนี้
ตัวเราเองก็แบกกระเป๋าเดินทางมากะไว้เลยว่า คงจะต้องอยู่ที่นี่หลายวันจนกว่าอะไรๆ  มันจะลงตัว  หรือตัวเองแค่ถ่วงเวลาให้เวลามันผ่านไปช้าๆและใช้ความว่างเปล่าอยู่กับมัน เสียมากกว่า...  โดยบริเวณรอบๆหอพักธรรมดาไม่มีอะไรให้น่ากังวล  ห้องข้างๆ ก็มีคนอยู่ถัดไปก็มีคนอยู่  ไม่ต้องกลัวความเงียบเหงา  เหล่าเพื่อนร่วมห้องจะสร้างความบันเทิงสารพัดเสียงสารพัดรูปแบบให้เราได้ เพลิดเพลินอย่างมิได้ตั้งใจ เป็นหอพักที่ดูครึกครื้นอยู่แล้ว  อาจจะไม่ดูเงียบสงัดวังเวงเหมือนบรรยากาศในหนังผีเดี๋ยวมันจะได้อารมณ์มาก เกินไป
วันแรกผ่านไปไม่มีอะไร  เราก็ยังคงนั่งจ้องหน้าจอมอนิเตอร์นั่งเคาะแป้นคีย์บอร์ดยิกๆ สลับกับจับเมาส์เลื่อนไปเลื่อนมา ประสาคนใช้ชีวิตติดกับคอมพิวเตอร์  เล่นเกมส์ท่องอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยเปื่อย  พี่ชายเราเขาก็ไม่อยู่บอกจะไปเที่ยวทะเลกับคณะที่บริษัทจัดให้เป็นโบนัส เพื่อผ่อนคลายลูกน้องมั้ง  ก็เลยกลายเป็นว่ามานอนเฝ้าห้องให้มันหรอกเหรอเนี่ย  แต่ที่ห้องพี่ผมเนี่ยถ้าไม่เล่นคอมพ์ก็มีอะไรให้ทำ  อย่างดูทีวีหอนี้ก็ต่อเคเบิ้ลไว้ (ขอบอกเคเบิ้ลของคนที่นี่มีหนังใหม่พวกวีซีดีออกใหม่ทั้งนั้น  ซึ่งก็ไม่แปลกเลยว่าถ้าร้านให้เช่าวีซีดีแถวนี้จะขายไม่ออกและขาดลูกค้า) หนังสือนิยายเอย  การ์ตูนเอยก็มีให้อ่าน  ไม่ต้องกังวลว่าจะว่างเปล่า เพียงแต่มันไร้สาระเท่านั้นเอง
วันที่สองก็เหมือนเดิม แปลกเหมือนกันที่พบ ว่าชีวิตของตัวเราเองใช้ชีวิตแบบซีดีสะดุดแผ่น  ผ่านเหตุการณ์นี้ไปซีดีสะดุดก็กลับมาฉายเรื่องแบบเดิมๆ ซ้ำๆ เพียงแต่เปลี่ยนช่วงเวลาเท่านั้นเอง ก็คือไม่มีอะไรยังเฮฮาตามประสาคนเพลิด เพลินกับเวลาว่างๆ  ความสุขของคนบางคนก็เพียงแค่ใช้ชีวิตปกติของตนเองให้มันหนัก ให้มันเหนื่อยแล้วพอมีโอกาสก็พักซะให้พอ  แล้วก็จะรู้ว่าความสุขความสบายใจก็คือแค่หยุดพัก หยุดคิด  แต่สบายก็ไม่ได้แปลว่ามีความสุขเสมอไปละเนอะ


จวบจนวันที่สาม  เข้าเรื่องเหมือนละครผีรอบดึกๆ ที่ว่าวันสองวันแรกจะไม่มีอะไร ก็ตอนช่วงเช้ามันก็แน่ละไม่มีอะไร  ที่ว่าวิญญาณจะไม่ค่อยชอบแสงแดดและไม่ชอบมาตอนกลางวันนี่อาจจะจริง  แต่ในความคิดเราก็คือตอนกลางวันมันแบ่งแยกความมืดมิดออกจากแสงสว่างได้ ชัดเจนมากยิ่งกว่า  คนเราเลยมักจะไม่เจอดีตอนกลางวัน


ก็พอเทียงคืนตีหนึ่งนี่แหละ

ไอ้เราก็เปิดทีวีไว้ช่อง แซนนอลวี  ให้มีเสียงเพลงเสียงคนแทรกมาให้พอได้ยินเบาๆ  แล้วตัวเองก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่นเน็ตต่อไปไม่ได้สนใจดูทีวีหรอก (บ้านมันมีโรงไฟฟ้าอย่าไปสนใจเลย) ดึกๆ สงัดอย่างนี้ได้ยินเสียงคนเคาะประตู

"ก็อก ๆ ๆ ๆ"

เอ๊ะ ใครมันมาเคาะประตูห้องดึก ๆ ดื่นๆ ก็เลยร้องทักออกไป

"มีอะไรรึเปล่าครับ"

ได้รับแต่ความเงียบงันกลับมา  เดินออกไปเปิดประตูดูไม่มีอะไร ตามสูตร  แต่ผมก็ไม่มองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้นหรอก  คิดไปว่าก็อาจมีคนเคาะห้องผิดแล้ว  นึกได้ว่าไม่ใช่ห้องนี้แล้วเดินไปเข้าห้องอื่น


วันต่อมาวันนี้พี่ชายผมก็กลับมาจากไปเที่ยวทะเลภาคใต้แล้ว ผมก็เล่าเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ให้ฟังเล่นๆ บอกว่า

"พี่เมื่อคืนนี้มีใครก็ไม่รู้มาเคาะห้อง นัดเพื่อนไว้รึเปล่า รึอาจเป็นเพื่อนห้องอื่นมาเคาะห้อง"

พี่ผมก็ตอบว่า "เฮ้ย ก็ไม่ได้นัดใครไว้นี่ พี่มาอยู่หอนี้ก็ไม่รู้จักคนห้องอื่นเลยนะ" พี่ชายผมจะทำงานตั้งแต่เช้าจนสองทุ่มสี่ทุ่มเป็นประจำก็เลยไม่ค่อยมีเวลา มาสร้างมนุษย์สัมพันธ์กับคนในหอหรือระแวกห้องเท่าไรนัก

ผมพูดต่อ "อืม งั้นคงเป็นคนอื่นเคาะห้องผิดนั่นแหละ" ปลอบใจตัวเองไปวันๆ


จนเวลาผ่านไปพอดีแป๊ะกับช่วงเวลาเดิมคือ เที่ยงคืนตีหนึ่ง

"ก็อกๆ ๆ ๆ" มาอีกแล้วเสียงเคาะประตู ที่บอกเตือนว่าคนในห้องควรจะมาเปิดประตูให้

ตะโกนถามไปก็เงียบเหมือนเดิม  แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ เสียงคนวิ่งตึกตักๆ

พี่กับผมมองหน้ากัน พี่เดินไปเปิดดูข้างนอก ก็เหมือนเดิมนอกชานหน้าห้องว่างเปล่า

ที่ไม่เห็นอะไรเป็นเพราะไม่มีอะไร หรือบางสิ่งบางอย่างอาจเดินเข้าห้องเราโดยเราไม่รู้ตัวแล้วเราเปิดประตูรับมันเข้ามาก็ได้นะ


เสียงตุ๊กแกก็ร้องขึ้นมาสลับความเงียบ ....

ตอนนี้ความรู้สึกเรื่องสิ่งเร้นลับเริ่มเข้ามาในจิตใจเป็นครึ่งต่อครึ่ง

ตอนนั้นผมก็เล่น MSN แช็ตกับเพื่อน ลองคุยกับมันไป

ผม "เฮ้ย เมื่อกี้มีเสียงเคาะประตู เปิดออกไปดูไม่มีอะไรเลยละ"

มันตอบ "อืม ต้องเป็นผีแน่เลย ชอบมาทักทายอย่างนี้"

อ้าวเวง อ้ายหัวขวดคนยิ่ง หวั่นๆ ดึกๆ ถึงจะเป็นผู้ชายยังไงถ้าเจอหลอกหลอนแบบในหนังก็กลัวเหมือนกันนะวุ้ย เราไม่ได้มีวิชาหมอผีติดตัวมานี่หว่า ตอบกวนบาทาเช่นนั้นผมเลยคุยต่อ

ผม "เปิดออกไปดู ไม่มีอะไร แล้วก่อนนั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินนะ ผีมันก็เดินไม่มีเสียงดิ"

มันตอบ "อ้าวห่า บางทีก็เดินมีเสียงเหมือนกันแหละ แต่มันไม่เห็นตัว ผีหลอกแล้วเมิง"

เอออ้ายสาดนอกจากจะไม่ให้กำลังใจว่าไม่ต้องกลัวหรือปลอบใจแล้ว ดันมาพูดแนวว่าเมิงเจอผีแล้วเจอแน่ๆ อีก

ผม "แต่ กุว่าผีเหมือนตัวที่ยืนอยู่หลังเมิงนั่นใช่ปะ"

มันตอบ "อะไร ไม่มี"

ผม"งั้น ก็อีกตัวที่อยู่ใต้โต๊ะคอมน่ะ"

มันตอบ "เฮ้ย ไม่มี"

  
 

พอพูดถึงประมาณนี้ความกลัวจะถูกส่งไปหาอีกคน  เจอมุกนี้คนที่อยู่ฝั่งนั้นจะหวั่นๆ หันรีหันขวาง กระวนกระวายไปแทน

 
แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงลอดผ่านหน้าต่างมา

"@#%%**!!xx)@&&" เสียงผู้หญิงฟังไม่ได้ศัพท์ลอดเข้ามา

ผมหันไปถามพี่ชาย

พี่ชายตอบว่า "เมื่อกี้เห็นเงาคนอยู่หลังม่านหน้าต่าง"


เอาละสิคืนนี้ชักทะแม่งๆ นอนหลับไปด้วยใจสั่นๆ นอนหลับหายใจก็ไม่ทั่วท้องได้กลิ่นสาบศพเหมือนกลิ่นหนูตายลอยเข้ามาปะ จมูก ทำไมบรรยากาศมันเข้าทำนอกผีหลอกวิญญาณหลอนอย่างนี้หนอ  ตาจ้องมองผ่านไปที่หน้าต่างเผื่อจะได้เจอร่างคนอยู่หลังม่านรึไงหว่า  คนเรางี้แหละยิ่งกลัวยิ่งมองหา  แต่แน่ใจอยู่อย่างสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอะไรก็ตามที่ส่งเสียงมาให้ได้ ยินเมื่อไม่นานนี้ต้องเป็นเสียงผู้หญิงแน่นอน


เช้าวันรุ่งขึ้นกว่าจะตื่นก็ปาไปเกือบ เที่ยง  ยังทำกิจกรรมอะไรเดิมๆ ซ้ำซากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ตกเย็นได้มีโอกาสไปถามยามหอพัก  ซึ่งขณะนั้นก็กำลังก้งอะไรได้ที่  ชวนคุยอะไรไปเรื่อยเปื่อย  แล้ววนมาเข้าประเด็น


ผม "ลุงๆ อยู่หอนี้  เคยมีผีหลอกมั่งป่าว"

ลุง "เออ.. ที่ไหนก็มีผีเหมือนกันหมดละวะ ที่นี่ก็มีผีบ้านผีเรือนไง คนดีผีคุ้มวะ"

ผม "ยังไงกันหว่า ลุง"

ลุง "ผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน อย่าเผลอไปเจอก็เป็นดี"

ผม "แล้วเคยมีคนตาย ที่หอนี้มั่งป่าว" คราวนี้ยิงไปอีกคำถาม

ลุง ทำเออ ออ ไม่ค่อยอยากตอบ แต่ด้วยสุราพาชวนคุย ก็ตอบมาว่า

ลุง "เคยมีนักเรียนคน มันท้องแล้วไม่มีพ่อ ก็เลยฆ่าตัวตาย"


ในใจนึกไปเลยว่า  ชิปหายตายห่ะ ผีตายท้องกลมด้วย ฆ่าตัวตายด้วยอีกต่างหากมีเฮี้ยนน่าดูรึ  เก็บความสงสัยแล้วไปคุยกับพี่ชาย  สรุปว่าถ้าไม่เห็นชัดก็พิสูจน์ให้มันแน่ไปเลยดีกว่ามั้ย อย่าเก็บความสงสัยไว้แล้วคิดไปต่างๆ นาๆ  วางแผนไว้เลยว่าพี่ชายผมจะออกไปดักอยู่ตรงมุมอับที่มองจากชานข้างนอกไม่ เห็น  แล้วรอเวลาเดิมว่าจะมาเป็นตัวๆ หรือมาแค่กายสัมผัส


เริ่มแผน จวบจนขณะเทียงคืนตีหนึ่งเหมือนเดิม  ผมก็นั่งรอในห้องด้วยในร่มๆ  อย่างน้อยกุก้อมีพระดีเว้ย  องค์นี้เตี่ยให้มาอายุเกือบสิบปีขลังแน่ๆ  ผีเจอผีร้องเสียงหลง  ก็ใจดีสู้เสือกันไป เฝ้านับเวลาเค้าน์ดาวน์อย่างเดียว


"ก็อก ๆ ๆ ๆ" มันมาแล้ว

เราเดินออกไปเปิดประตู  นึกครึ้มใจอยู่เหมือนกันถ้าเจอแล้วคงทำอะไรไม่ถูกอยู่เหนือจินตนาการ  แต่ก็ไม่น่าห่วงข้างนอกก็มีพี่ชายอยู่ถ้าเจอก็เจอด้วยกัน  ถ้าไม่เจอพี่ก็จะรู้ว่ามีแต่เสียงและคือวิญญาณมาเยี่ยมเยือน


ผมหลับตาปี๋แล้วยื่นมือไปบิดลูกบิด  แล้วค่อยลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ

สิ่งที่ผมเห็นต่อหน้า  คือหญิงสาวผมบ็อบทรงนักเรียนหน้าซีดๆ ใส่เสื้อผ้าคล้ายชุดนอนสีฟ้าออกมอซอ

ดูไปดูมา อ้าวนี่มันก็คนนี่หว่า พี่ชายผมก็เดินออกมาจากที่มืดแล้วยืนดูอย่างข้างหลังเด็กผู้หญิง

เธอเอ่ยปากออกมาว่า


"พี่คะ หนูอยากรู้จักพี่น่ะค่ะคือหนูกะพวกเพื่อนๆ อยู่ห้องข้างๆ นี้ ห้อง 403" ห้องพี่ชายเราคือห้อง 402

ในใจก็นึกว่า อ๋อพวกเราสองพี่น้องนี่ก็เสน่ห์แรงเหมือนกันแหะ  วันดีคืนดีมีสาวๆ มาสารภาพว่าอยากรู้จัก คือว่ามันเป็นอย่างนี้  พอเด็กพวกนี้มันเคาะประตูเสร็จด้วยความอายหรือไม่แน่ใจก็ไม่กล้ายืนสู้หน้า  ให้เพื่อนอีกคนรอเปิดประตูไว้  เวลาเราออกไปเปิดประตูดูก็เลยว่างเปล่าเพราะหนีเข้าห้องของมันเองด้วยความ เงียบอย่างแนบเนียน


บางทีเราอาจจะอยู่ด้วยตัวเองจนเกินไปจนลืม มองดูรอบๆ สิ่งรอบตัว  โลกนี้มีคนอีกหลายคนที่พร้อมจะหยิบยื่นมนุษยสัมพันธ์ให้  ถึงแม้การรู้จักกันอาจจะนำความลำบากใจมาให้บ้าง  แต่รู้จักคนไว้ดีแล้ว  มีอะไรจะได้พึ่งพาอาศัยกัน


และในที่สุดก็รู้จุดประสงค์ที่เด็กมัธยมเหล่านี้มาเคาะห้อง  เมื่อเอ่ยขึ้นว่า

"พี่ คือหนูได้ยินเสียงพี่เล่นเกมส์ออนไลน์  พี่ช่วยแชร์เกมส์ไว้หน่อยได้มั้ย เดี๋ยวหนูมาก็อปไป" ก็นึกว่าตัวเองดึงดูดเพศตรงข้าม  คือว่าจุดประสงค์มันอยากเล่นเกมส์นี่เอง  พวกเด็กเปรตเนี่ย  ก็แล้วมันก็จะมาเคาะดีๆ ธรรมดาเหมือนผู้เหมือนคนก็ไม่ได้นะ

ดึกๆ ก่อนนอนก็ยังได้กลิ่นซากศพ ซากเน่าอยู่  หรือว่าที่จริงแล้วมีผีเฮี้ยนจริงๆ นะ ลองดมกลิ่นดูดีๆ หาที่มาให้มันชัดพบถุงเท้าสองคู่ต้นเหตุ  แห่งกลิ่นเหม็น  เวรก็มันเล่นเอามายัดไว้ใต้ที่นอนพอตกกลางคืนล้มหัวนอนลงถึงจะได้กลิ่น


อย่างนี้แหละ แล้วเรืองผีของที่นี่ก็จบลง


รวมงานเขียนเก่าๆ 12 พฤษภาคม  2549 รอยยิ้มบนกระดาษ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น